ประกันสังคม คือ หลักประกันในการดำรงชีวิตให้กับคนทำงาน โดยจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม เพื่อรับผิดชอบความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นของผู้ประกันตนและครอบครัว ในกรณีที่ประสบภัยอันตรายต่างๆ สำหรับใครที่จ่ายประกันสังคมไปทุกเดือน แต่ไม่รู้ว่าประกันสังคมให้สิทธิอะไรกับเราบ้าง สบายใจมาไขคำตอบให้ค่า
ผู้ประกันตนภายใต้ระบบประกันสังคม แบ่งออกได้เป็น 3 มาตราด้วยกัน ซึ่งได้แก่ มาตรา 33 , มาตรา 39 , มาตรา 40 โดยแต่ละมาตราจะมีรายละเอียดและสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกัน
สิทธิประกันสังคมมีอะไรบ้าง?
1.กรณีเจ็บป่วย
เจ็บป่วยปกติหรืออุบัติเหตุ
เมื่อเจ็บป่วยปกติสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD) ยกเว้น 14 โรคที่ไม่ใช่ความจำเป็นในขั้นพื้นฐานของชีวิตตามประกาศของประกันสังคม เช่น การเสริมสวย การมีบุตรยาก ผสมเทียม แว่นตา การใช้สารเสพติด การเปลี่ยนเพศ และการฆ่าตัวตาย เป็นต้น
เมื่อเจ็บป่วยฉุกเฉินหรือประสบอุบัติเหตุสามารถเข้ารับบริการตามสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ์ได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่ในกรณีที่เข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลอื่น ต้องแจ้งสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิ์โดยเร็ว และต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน แล้วเบิกคืนจากประกันสังคมในอัตราที่กำหนด
ทั้งนี้การประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต สามารถเข้ารับบริการตามสถานพยาบาลที่ใกล้เคียงได้ทุกแห่ง โดยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่าย ภายในระยะเวลา 72 ชั่วโมง ซึ่งนับรวมวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์ และในกรณีที่ผู้ประกันตนได้รับบริการทางการแพทย์จนพ้นภาวะวิกฤตแล้ว จะส่งตัวไปเข้ารับการรักษาต่อ ณ สถานพยาบาลที่สำนักงานกำหนดสิทธิ
เงินทดแทนรายได้
ผู้ประกันตนจะได้รับเงินทดแทน 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย ตามที่หยุดงานครั้งละไม่เกิน 90 วัน แต่ไม่เกิน 180 วันในหนึ่งปี ยกเว้นโรคเรื้อรังจะได้รับค่าทดแทนไม่เกิน 365 วัน ซึ่งปัจจุบันระบุไว้ 6 โรคได้แก่ โรคมะเร็ว ไตวายเรื้อรัง เอดส์ โรคหรือการบาดเจ็บจากสมองและกระดูกสันหลัง ความผิดปกติของกระดูกหัก และโรคอื่น ๆ ที่ต้องรักษาตัวนานเกิน 180 วันตามมติของแพทย์
ทันตกรรม
ผู้ประกันตนสามารถรับบริการที่สถานพยาบาลใดก็ได้ โดยมีอัตราค่าบริการดังนี้
- ถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูนและผ่าฟันคุด เบิกได้ตามที่จ่ายจริงและไม่เกิน 900 บาท/ปี
- ฟันเทียมชนิดถอดได้บางส่วน เบิกได้ตามที่จ่าย ไม่เกิน 1,500 บาท ในระยะเวลา 5 ปี
- ฟันเทียมชนิดถอดได้ทั้งปาก เบิกได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 4,400 บาท ในระยะเวลา 5 ปี

2. กรณีทุพพลภาพ
สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนมีสิทธิ์ได้รับเมื่อประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยจนไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
ทุพพลภาพรุนแรง
ทุพพลภาพรุนแรง หมายถึง ภาวะความพิการหรือความผิดปกติของร่างกายหรือจิตใจที่ทำให้ผู้ประกันตนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตลอดชีวิต ซึ่งผู้ประกันตนจะได้รับสิทธิประโยชน์ดังนี้
- เงินทดแทนการขาดรายได้ อัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเป็นรายเดือนตลอดชีวิต
- ค่ารักษาพยาบาลกรณีเข้ารับบริการทางการแพทย์ ณ สถานพยาบาลของรัฐ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
- ค่าบริการทางการแพทย์กรณีเข้ารับบริการทางการแพทย์ ณ สถานพยาบาลเอกชน จ่ายเท่าที่จ่ายจริงไม่เกินอัตราที่กำหนด
- ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพวิชาชีพ
- ค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือหรือสิ่งอำนวยความสะดวก
ทุพพลภาพไม่รุนแรง
ทุพพลภาพไม่รุนแรง หมายถึง ภาวะความพิการหรือความผิดปกติของร่างกายหรือจิตใจที่ทำให้ผู้ประกันตนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ ซึ่งผู้ประกันตนจะได้รับสิทธิประโยชน์ดังนี้
- เงินทดแทนการขาดรายได้ ตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาที่กำหนด
- ค่ารักษาพยาบาลกรณีเข้ารับบริการทางการแพทย์ ณ สถานพยาบาลของรัฐ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
- ค่าบริการทางการแพทย์กรณีเข้ารับบริการทางการแพทย์ ณ สถานพยาบาลเอกชน จ่ายเท่าที่จ่ายจริงไม่เกินอัตราที่กำหนด
- ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพวิชาชีพ
- ค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือหรือสิ่งอำนวยความสะดวก

3. กรณีคลอดบุตร
สิทธิประกันสังคมกรณีคลอดบุตร หมายถึง สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนมีสิทธิ์ได้รับเมื่อตนเองหรือภรรยาคลอดบุตร ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
ค่าคลอดบุตร
การเบิกสิทธิประกันสังคม กรณีคลอดบุตร คุณแม่ที่มีสิทธิ์ในการเบิก จะต้องจ่ายเงินสมทบประกันสังคมมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 5 เดือน และภายใน 15 เดือน ก่อนการคลอดบุตร โดยประกันสังคมจะจ่ายค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายในกรณีคลอดบุตร ในอัตรา 15,000 บาท
เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร
ผู้ประกันตนมีสิทธิ์ได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตร โดยเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง เป็นเวลา 90 วัน (หากเป็นบุตรคนที่ 3 จะไม่ได้สิทธินี้)
4. กรณีสงเคราะห์บุตร
สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนมีสิทธิ์ได้รับเมื่อมีบุตร โดยจะได้รับเงินสงเคราะห์บุตร เดือนละ 800 บาท ต่อบุตร 1 คน เป็นเวลาไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์ จำนวนไม่เกิน 3 คน
5. กรณีชราภาพ
การรับสิทธิประกันสังคมกรณีชราภาพสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ กรณีบำนาญชราภาพ และบำเหน็จชราภาพ ผู้ประกันตนจะรู้ได้ยังไงว่า จะได้รับเงินชราภาพเป็น เงินบำเหน็จ หรือ เงินบำนาญ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า 2 อย่างนี้ต่างกันยังไง
กรณีบำนาญชราภาพ
คือ เงินชราภาพที่ประกันสังคมจะจ่ายเป็นเงินก้อนครั้งเดียว
กรณีบำเหน็จชราภาพ
คือ เงินชราภาพที่ประกันสังคมจะจ่ายเป็นรายเดือนตลอดชีวิต หลังอายุ 55 ปี
ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้ผู้ประกันตนไม่สามารถเลือกได้ว่าจะรับเงินแบบไหน เพราะกองทุนประกันสังคมใช้ระยะเวลาส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเป็นเกณฑ์การตัดสิน
6. กรณีเสียชีวิต
เงินสงเคราะห์กรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตาย ให้จ่ายแก่บุคคลซึ่งผู้ประกันตนทำหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์นั้น แต่ถ้าผู้ประกันตนมิได้มีหนังสือระบุไว้ก็ให้นำมาเฉลี่ยจ่ายให้แก่ สามีหรือภริยา บิดามารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนในจำนวนที่เท่ากัน ดังนี้
- ถ้าก่อนถึงแก่ความตาย ผู้ประกันตนได้ส่งเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 36 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 120 เดือน ให้จ่ายเงินสงเคราะห์เป็นจำนวนเท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 2 เดือน
- ถ้าก่อนถึงแก่ความตายผู้ประกันตนได้ส่งเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 120 เดือนขึ้นไป ให้จ่ายเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้างเฉลี่ย 6 เดือน
** กรณีผู้ประกันตนเสียชีวิต ทายาทผู้มีสิทธิสามารถขอรับคืนเงินกรณีชราภาพคืนได้ภายใน 2 ปี

7. กรณีว่างงาน
สิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนมีสิทธิ์ได้รับเมื่อถูกเลิกจ้างหรือลาออกจากงาน โดยจะได้รับเงินชดเชยการว่างงานเป็นรายเดือน เป็นเวลาไม่เกิน 240 วัน
อัตราเงินชดเชยการว่างงาน
อัตราเงินชดเชยการว่างงาน คิดจากค่าจ้างเฉลี่ย 6 เดือนสุดท้าย โดยจะใช้ฐานรายได้สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท และฐานรายได้ต่ำสุด 1,650 บาท ดังนี้
- จ่ายเงินสมทบครบ 6 เดือน แต่ไม่เกิน 180 เดือน จะได้รับเงินชดเชยการว่างงาน 30% ของค่าจ้างเฉลี่ย
- จ่ายเงินสมทบครบ 180 เดือน แต่ไม่เกิน 240 เดือน จะได้รับเงินชดเชยการว่างงาน 45% ของค่าจ้างเฉลี่ย
ประกันสังคมมาตราไหนได้สิทธิอะไรบ้าง?
- มาตรา 33 ผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้าง จะได้รับสิทธิประโยชน์ 7 กรณี ดังนี้
- กรณีเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย
- กรณีทุพพลภาพ
- กรณีเสียชีวิต
- กรณีคลอดบุตร
- กรณีสงเคราะห์บุตร
- กรณีชราภาพ
- กรณีว่างงาน
- มาตรา 39 ผู้ประกันตนที่สมัครใจ จะได้รับสิทธิประโยชน์ 6 กรณี ดังนี้
- กรณีเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย
- กรณีทุพพลภาพ
- กรณีเสียชีวิต
- กรณีคลอดบุตร
- กรณีสงเคราะห์บุตร
- กรณีชราภาพ
- มาตรา 40 ผู้ประกันตนที่เป็นแรงงานนอกระบบ จะได้รับสิทธิประโยชน์ 2 กรณี ดังนี้
- กรณีเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย
- กรณีทุพพลภาพ
ประกันสังคมที่ต้องจ่ายสมทบ
ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ดังนี้
เงินสมทบแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่นายจ้างจ่าย 5% และส่วนที่ผู้ประกันตนจ่าย 5%
ดังนั้น ผู้ประกันตนมาตรา 33 จะต้องจ่ายเงินสมทบขั้นต่ำเดือนละ 83 บาท และไม่เกินเดือนละ 750 บาท
ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ดังนี้
เงินสมทบที่ผู้ประกันตน มาตรา 39 ต้องนำส่งจะเท่ากับ 432 บาท/เดือน ทั้งนี้ ผู้ประกันตนต้องส่งเงินสมทบให้ครบทุกเดือนต่อเนื่องกัน ซึ่งหากไม่ส่งเงินสมทบ 3 เดือนติดต่อกัน หรือภายในระยะเวลา 12 เดือน ส่งเงินสมทบไม่ครบ 9 เดือน ก็จะถือว่าสิ้นสุดสภาพการเป็นผู้ประกันตน มาตรา 39 ในทันที
ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ดังนี้
การจ่ายเงินสมทบประกันสังคม มาตรา 40 มีด้วยกัน 3 ทางเลือก ได้แก่ จ่ายเงินสมทบ 70 บาท/เดือน, จ่ายเงินสมทบ 100 บาท/เดือน และจ่ายเงินสมทบ 300 บาท/เดือน
สรุป
คงจะทราบถึงประโยชน์ของเงินประกันสังคมที่เรานั้นจ่ายไปทุก ๆ เดือนแล้วว่าไม่ได้สูญเปล่าอย่างแน่นอน เพราะเสียประกันสังคมทุกเดือนไป จะช่วยให้ได้เงินช่วยเหลือยามเดือดร้อน ช่วยให้ชีวิตเราราบรื่นขึ้นนั่นเอง รวมไปถึงการใช้ชีวิตในยามที่เราแก่เกษียณ ดังนั้นการเสียประกันสังคมทุกเดือนจึงเป็นสิ่งที่คุ้มค่า เพราะจะช่วยให้เรามีชีวิตที่มั่นคงและปลอดภัยยิ่งขึ้น รายละเอียดเพิ่มเติม
นอกเหนือจากประกันสังคมที่จะทำให้ชีวิตมั่นคงในตอนเกษียณแล้ว เราก็สามารถสร้างความมั่นคง ณ ปัจจุบันได้เช่นกัน โดยการวางแผนการเงินอย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้เรามีเงินเก็บไว้ใช้จ่ายยามจำเป็น และมีเงินเหลือไว้ใช้ในอนาคต แต่หากอยากเพิ่มสภาพคล่อง สินเชื่อจำนำทะเบียนรถเป็นทางเลือกหนึ่งในการเสริมสภาพคล่องทางการเงิน โดยผู้กู้สามารถนำเล่มทะเบียนรถไปเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อได้ ซึ่งจะได้รับเงินสดก้อนหนึ่งมาใช้จ่ายตามความต้องการ สบายใจพร้อมให้คำปรึกษาติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line @sabuyjai.capital หรือโทร 066-051-0101 ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย